วันศุกร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2561

นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ


นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ



เรื่อง อ้ายก้องขี้จุ๊





    ใคร ๆ ในเวลานั้นก็รู้กันว่าอ้ายก้องเป็นคนขี้จุ๊ (มักกล่าวเท็จ) จุ๊ไม่เลือกว่าเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นธุเจ้า (พระสงฆ์) หรือเป็นพระยาเจ้าเมือง เรื่องที่ก้องหลอกพ่อแม่ มีเรื่องเล่าดังนี้

          วันหนึ่งก้องลาพ่อแม่ไปเที่ยวที่ไกล หายหน้าไปหลายวัน พอกลับมาก็เล่าให้พ่อแม่ฟังว่าที่ไปเที่ยวมานั้นม่วน (สนุก) มาก ค้าขายก็ดี พ่อค้าวัวต่างวัวหลัง (ขายดี ของที่บรรทุกหลังวัวมาหมดเกลี้ยง) ทำให้ก้องอยากเป็นพ่อค้าวัวต่างบ้าง ขอให้พ่อช่วยซื้อวัว ซื้อสินค้าให้ แล้วชวนพ่อไปค้ากับตนที่เมืองนั้น พ่อเองทั้งนึกกลัวว่าก้องจะจุ๊เอาอีกอย่างที่แล้ว ๆ มา แต่ก้องก็ยืนยันว่าคราวนี้จะไม่จุ๊แน่นอน ทั้งพ่อก็กำกับไปเองด้วย ไม่ต้องกลัวว่าก้องจะทำเหลวไหลให้เสียเงินเสียทอง พ่อแม่จึงยอมตกลงซื้อวัว ซื้อของบรรทุกไปค้าขายกับก้อง

          เมืองที่ว่าค้าขายดีนั้นดีจริงเหมือนก้องพูด พ่อกับก้องขายของหมด ซื้อไปขายมาได้เงินมากได้กำไรจนเพลินไปเกือบจะไม่ได้ปิ๊กบ้านปิ๊กเมือง (กลับบ้านกลับเมือง) อยู่มาวันหนึ่งก้องเตือนพ่อขึ้นว่า จากบ้านมานานแล้วนึกเป็นห่วงแม่อยากจะกลับไปเยี่ยม พ่อก็เห็นดีด้วย แต่ขณะที่กำลังซื้อขายคล่อง ถ้ากลับไปก็เสียดาย จึงตกลงกันว่าให้พ่อค้าขายอยู่ทางนี้ ให้ก้องกลับไปเยี่ยมแม่คนเดียวเอาเงินเอาทองที่ทำมาหาได้ไปฝากแม่ด้วย

          ก้องรับเงินทองจากพ่อแล้วออกเดินทางไป แต่ไม่ตรงไปหาแม่เดียว เที่ยวไถลไปไหน ๆ จนเงินทองหมดตัวจึงกลับไปหาแม่ พอพบหน้าแม่ก็ทำเป็นเศร้าโศกร้องไห้ฟูมฟายว่าไปมาคราวนี้พาพ่อไปล้มไปตาย ข้าวของสมบัติอะไร ๆ ที่ติดตัวไปก็ล่มหมด พ่อตายทำบุญให้แล้วก็รีบกลับมากาแม่นี่แหละ อู้ (พูด) อย่างนี้แล้วก็แนะแม่ว่า เวลานี้พ่อก็หาไม่แล้ว (ตาย) ควรขายบ้านเก่าเสียแล้วย้ายไปเมืองอื่นที่ทำมาหากินได้ดีกว่าเมืองนี้

          ก้องจะอยู่ช่วยแม่ค้าขาย ไม่จากแม่ไปไหนอีกแล้ว แม่กำลังเศร้าโศกเสียใจก็ตกลงทำตามที่ก้องแนะนำ ขายบ้านเก่าแล้วย้ายมาอยู่ที่ใหม่แล้วแม่ก็ยังไม่หายเสียใจ ร้องไห้คิดถึงพ่ออยู่เสมอ ก้องจึงปลอบแม่ว่า "แม่อย่าร้องไห้เสียใจไปนักเลย ไหน ๆ พ่อก็ตายไปแล้ว นึกหาเอาใหม่ก็แล้วกัน"แม่ตอบว่า "จะหาคนเหมือนพ่อไม่ได้แล้ว ถ้าได้อย่างพ่อก็จะเอาใหม่" ก้องจึงบอกแม่ว่า "ถ้าต้องการอย่างนั้นก็บ่ยาก แต่ก่อนเมื่อข้าเที่ยวไป ข้าปะพ่อชายคนหนึ่งเหมือนพ่อไม่ผิดกันเลย ข้าจะไปชักมาให้แม่"

          ครั้นแล้วก้องก็ลาแม่ไป กลับไปหาพ่อที่คอยฟังข่าวอยู่ ก้องพบพ่อทำเป็นร้องไห้รำพันร่ำไรว่ากลับไปบ้านนี้เคราะห์ร้ายมาก ไม่ได้พบหน้าแม่ แม่ตายเสียแล้วตั้งแต่ยังค้าขายกันอยู่ บ้านช่องก็เสียหายเป็นของเขาอื่นไปแล้ว พ่อได้ยินว่าแม่ตายเสียแล้วอย่างนั้นก็เสียใจมาก ร้องไห้คิดถึงแม่อยู่หลายวัน วันหนึ่งก้องได้ช่อง (ได้โอกาส) ก็เข้าไปปลอบพ่อว่า "พ่ออย่าร้องไห้ไปเลย เมื่อก่อนที่ข้าเที่ยวไป ข้าปะหญิงคนหนึ่งเหมือนแม่ไม่มีผิด เมื่อพ่ออยากเห็นข้าจะพาไปที่บ้าน"

          ก้องชักพ่อมาหาแม่ที่เมืองที่แม่ย้ายมาอยู่ใหม่ แล้วรีบหนีไปเที่ยวเสียที่อื่นต่อไป พ่อแม่พบกันนึกว่าเป็นพ่อชาย แม่หญิง ที่เหมือนคู่เก่าของตนที่ตายไปแล้ว ก็ดีใจมาก ตกลงอยู่กินกันต่างคนต่างนึกว่าตนได้คู่คนใหม่

          อยู่มาวันหนึ่ง แม่บ่นถึงก้องว่าหายไปนานแล้วไม่กลับ ไปเที่ยวจุ๊อยู่ที่บ้านไหนก็ไม่รู้ พ่อได้ยินออกชื่อก้องก็สงสัย ซักถามกันขึ้น ก็ความแตกว่าต่างคนมีลูกชื่อก้องขี้จุ๊คนนั้นเอง ลูกหลอกให้มาได้กันเหมือนได้ผัวใหม่เมียใหม่

          ส่วนที่ก้องจุ๊ธุเจ้านั้น มีเรื่องเล่าว่า อาจารย์เจ้าวัดหนึ่งเป็นคนขี้หวง ถึงหน้าต้นไม้ในวัดออกลูกออกผล อาจารย์ก็ป้องกันแข็งแรงกลัวว่าใครจะมาขอมาขโมย คราวหนึ่งมะม่วงในวัดออกลูกมากมาย คนในวัดและชาวบ้านแถวนั้นรู้ดีว่าเจ้าวัดหวงมาก ถึงอย่างไร ๆ ก็คงไม่ยอมให้มะม่วงใคร ก้องอยากลองดีจึงบอกกับพ่อว่าฉันจะเอามะม่วงในวัดมาให้พ่อกินให้ได้ พ่อก็หัวเราะประมาทหน้า แน่ใจว่าเอาของท่านมาไม่ได้

          ก้องท้าพนันกับพ่อว่า ถ้าเอามาได้พ่อจะให้เท่าไร พ่อบอกว่าได้มะม่วงมาลูกหนึ่งจะให้พันตำลึงทอง ก้องจึงรับรอง่าถ้าได้พันตำลึงทองจะเอามาให้พ่อตะกร้าใหญ่ ไม่ต้องนับว่ากี่ลูก แล้วก็แต่งตัวโอ่โถง ลงเรือหายหน้าไป ๒ – ๓ วัน พ่อก็ไม่รู้ว่าก้องไปไหนพอกลับมาก้องรีบมาที่วัดเข้าไปเคารพอาจารย์เจ้าวัด แล้วบอกว่า "ข้าพเจ้าเป็นคนรับคำสั่งท่านพญาเจ้าเมืองให้มาตรวจดูสถานที่ในวัดท่านจะมาแปง (สร้าง) หอหลวง ท่านให้มาถามอาจารย์ก่อนว่าจะยอมอนุญาตให้สร้างหรือไม่"อาจารย์เจ้าวัดเห็นก้องแต่งตัวภูมิฐาน ท่าทางดี นึกว่าพญาเจ้าเมืองใช้ให้มาจริง ๆ ก็บอกอนุญาตให้ก้องเที่ยวเดินไปทั่ววัดตรวจไปพลางเอาเชือกเที่ยววัดตรงนั้นตรงนี้ทำท่าเหมือนจริง ครั้นวัดและจดได้เสร็จแล้ว ก็บ่นดัง ๆ ให้เจ้าวัดได้ยินว่า "สะดายสะดาย ( เสียดาย ) มะม่วงต้องตัด หอหลวงนี้ใหญ่โตมาก กินที่ไปถึงต้นมะม่วงพวกนี้ด้วย" อาจารย์เห็นวาได้หอหลวงใหญ่ถึงจะตัดมะม่วงสักต้นก็ยอม และเมื่อไหน ๆ จะตัดมะม่วงอยู่แล้ว ก้องจะเก็บเอาลูกไปบ้างก็ได้ไม่หวงเอาไว้เหมือนแต่ก่อน ทั้งก้องก็เป็นคนที่จะไปนำพญาเจ้าเมืองมาแปงหอหลวงในวัดนี้ จึงให้ก้องเก็บมะม่วงเอาไปตะกร้าหนึ่ง ก้องเอามะม่วงไปให้พ่อ พอร้องทวงตำลึงทองตามที่พ่อสัญญาไว้ พ่อกลับร้องด่าเอาว่า "มึงรู้จักจุ๊ธุเจ้าเอามะม่วงมาได้ กูไม่รู้จักจะจุ๊ใคร จะเอาคำที่ไหนมาหื้อ (ให้) มึงตั้งพัน"

          ส่วนเรื่องที่ก้องจุ๊พญาเจ้าเมือง มีว่า พญาเจ้าเมืองรู้ว่าก้องเป็นคนขี้จุ๊ ใคร ๆ ก็เสียรู้ นึกอยากลองปัญญา จึงให้คนไปหาตัวมาเฝ้าแล้วท้าให้จุ๊ตัวบ้างดูว่าตนจะหลงเชื่อเสียรู้ก้อง หรือไม่ ก้องก็รับปากว่าจะลองดู แล้วทูลขอเอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่าอย่าเอาโทษตนเป็นอันขาด ไม่ว่าตนจะทำให้พญาเสียรู้สักแค่ไหน เจ้าเมืองก็รับคำแล้วบอกให้ก้องเริ่มได้ แต่ก้องบอกว่าจะจุ๊เจ้าเมืองในวังไม่ได้ ต้องออกไปข้างนอกไกล ๆ แล้วพาเจ้าเหนือหัวเดินออกไปนอกเมืองไกลจนถึงบวก (หนองน้ำ) แห่งหนึ่ง แล้วทูลขอให้เจ้าเมืองลงไปยืนในหนองน้ำนั้น ตนจะจุ๊ให้ขึ้นจากหนองน้ำให้ได้ พญาเจ้าเมืองก็ลงไปในหนองน้ำแล้วตั้งใจว่าก้องจะจุ๊อย่างไรก็ไม่ยอมขึ้น

          พอเจ้าเหนือหัวลงไปอยู่ในหนองเรียบร้อยแล้ว ก้องก็ร้องทูลว่า "ข้าพเจ้าจุ๊ให้ท่านเดินออกจากวังมานอกเมืองไกลแค่นี้แล้ว ส่วนที่จุ๊ให้ลงไปอยู่ในน้ำนั้นจะขึ้นหรือไม่ก็ตามพระทัยเถิด" ก้องกล่าวดังนั้นแล้วก็ถวายบังคมลากลับไปเสียเฉย ๆ พญาเจ้าเมืองก็รู้ว่าเสียท่าก้องเสียแล้ว และตั้งแต่เสียรู้ก้องวันนั้นแล้วก็ผูกใจเจ็บอยู่เสมอ วันหนึ่งจึงให้ไปจับก้องลงโทษ ให้เอาใส่หีบไม้ล่อ (โผล่) แค่คอแล้วแขวนเอาไว้บนต้นไม้ริมแม่น้ำใกล้ทางหลวง แขวนประจานเอาไว้เจ็ดวันให้คนทั้งหลายดูหน้าคนบังอาจจุ๊เจ้าเหนือหัว เมื่อครบเจ็ดวันแล้ว จะให้โค่นต้นไม้ตกแม่น้ำไปให้ก้องจมน้ำตายอยู่ในหีบไม้ใบนั้น

          ผู้คนก็พามาดูอ้ายก้องขี้จุ๊กันมากมาย ในเย็นที่ก้องจะต้องตายนั้น เผอิญอ้ายเงี้ยวตาฟางคนหนึ่งเดินงุ่มง่ามมา ก้องแลเห็นแต่ไกลก็ดีใจมาก ร้องเรียกให้เข้ามาใกล้ ๆ เงี้ยวตาฟางจึงถามว่าก้องเป็นใคร ก้องบอกว่าตนเป็นคนตาบอด หมอรักษาตาเอาใส่หีบแขวนไว้ เวลานี้ตาหายแล้วเห็นดีแล้ว เงี้ยวตาฟางอยากตาดีบ้าง จึงขอให้ก้องช่วยเอาตัวใส่หีบแขวนไว้ เงี้ยวจึงช่วยก้องออกมาแล้วเข้าไปอยู่ในหีบแทน ครบกำหนดเจ็ดวัน เพชฌฆาตก็มาโค่นต้นไม้ เงี้ยวตาย ส่วนก้องพ้นตายไปได้ แล้วก็ไปเฝ้าเจ้าเมือง เจ้าเมืองแปลกใจว่าเหตุใดก้องตากน้ำแล้วยังไม่ตาย

          ก้องจึงกุเรื่องขึ้นเล่าว่า "ตกน้ำไปจริงแต่ไม่ตาย ได้ไปเที่ยวถึงเมืองพญานาค เมืองนั้นสนุกสนานมาก มีแต่ผู้หญิงงาม ๆ ทั้งเมือง ไม่มีผู้ชายเลย" แล้วขยายเรื่องจนเจ้าเมืองอยากไปบ้าง ขอให้ก้องช่วยจัดการให้ได้ไปเที่ยวถึงเมืองพญานาค ก้องจึงเอาเจ้าเมืองใส่หีบทิ้งน้ำ เป็นอันว่าพญาเจ้าเมืองไม่ได้กลับมาครองบ้านเมืองอีกต่อไป

          ส่วนก้องกลับมาเฝ้านางเทวี ชายาเจ้าเมือง เล่าว่าเจ้าเมืองไปอยู่เมืองพญานาค มีความสุขสนุกสนาน ไม่ยอมกลับบ้านเมืองอีกแล้ว มอบให้ก้องเป็นพญาแทน ส่วนเจ้านางเทวีนั้น พญาสั่งว่าอย่าให้เอาผู้ใดเป็นผัวนอกจากก้อง อ้ายก้องขี้จุ๊ก็ได้เป็นพญาแต่นั้นมา


          ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

        - ให้ความสนุกเพลิดเพลิน
        - ให้เห็นถึงความโกหกหลอกลวงของคนที่โกหกหลอกลวงไม่เลือกแม้แต่พ่อแม่พระสงฆ์
         - คนมีสติปัญญาสามารถเอาตัวรอดได้เสมอ








เรื่อง  ไอ้เซี่ยงเมี่ยงค่ำพญา (ศรีธนญชัยรังแกพญา)






     วันหนึ่งเจ้าเมืองเดินทางไปตามบ้านน้อยเมืองใหญ่ก็ได้ไปพบไอ้ศรีธนญชัย ไม่รู้จักว่าเป็นไอ้ศรีธนญชัย ไอ้ศรีธนญชัยก็ทักเจ้าเมืองว่า ‘’สาธุ ท่านเจ้าเมืองจะไปไหน‘’ เจ้าเมืองตอบว่า ‘’จะไปเที่ยว‘’  ไอ้ศรีธนญชัยก็ว่า ‘’เจ้าเมืองนี่ข้าหลอกได้แน่นอน” ‘’เด็กน้อยอย่างเจ้านะหรือ จะมาหลอกเราได้ ‘’ เจ้าเมืองตอบ ‘’จะหลอกข้าอย่างไรล่ะ‘’ ‘’ไม่ยากหรอก ถ้าจะหรอกละก็” ‘’ก็ไหนลองหลอกกูดูทีซิ ‘’โอ งั้นหรือ งั้นก็ลงมานี่ก่อนซิ เจ้าเมืองลงมาเสียก่อนแล้วข้าจะหลอก” ทันใดนั้นเจ้าเมืองก็ลงไป… ไอ้ศรีธนญชัยก็ว่า ‘’นี่ไงล่ะ เจ้าเมืองก็ลงมาตามที่ข้าหลอก” ตอนนี้ก็นับได้ว่าไอ้ศรีธนญชัยหลอกเจ้าเมืองได้

ต่อมาอีกหลายวัน เจ้าเมืองก็พบไอ้ศรีธนญชัยอีก มันก็บอกว่า ‘’ ขอเชิญเจ้าเมืองเข้ามานี่อีกทีเถอะ ข้ามีอะไรจะหลอกอีก ” เจ้าจะหลอกข้าได้อย่างไรล่ะ‘’ ‘’มาเถอะน่า ขอให้เจ้าเมืองกระโดดลงไปในหนองน้ำนั้นก่อน แล้วข้าจะหลอก” เจ้าเมืองก็รีบกระโดดลงไปในหนองน้ำ ‘’ นั่นไง ดูซิเจ้าเมืองก็ตกลงไปในหนองน้ำที่ข้าหลอกจนได้ ‘’ ก็เป็นอันว่าเจ้าเมืองแพ้ศรีธนญชัยอีกครั้งหนึ่ง เจ้าเมืองก็โกรธมากคิดจะฆ่าไอ้ศรีธนญชัยเสีย ถ้าขืนปล่อยให้อยู่ต่อไปมันก็จะหลอกเราอยู่เรื่อยไป

ต่อมาไอ้ศรีธนญชัยก็ไปพบเจ้าเมืองเข้าอีก มันพูดว่า ‘’ คนอย่างเจ้าเมืองนี่ถ้าไปเที่ยวบ้านข้าไม่ฟ้อนรำละก็ต้องเข็ดแน่ๆ ” ‘’ โธ่ ไอ้ศรีธนญชัย คนอย่างกูนี่น่ะหรือจะไปฟ้อนรำทำไมที่บ้านมึง ” ” ไม่เชื่อก็ขอเชิญไปทีเถอะน่า ‘’ บ้านไอ้ศรีธนญชัยอยู่คนละฝั่งคลอง มีไม้พาดข้ามสะพานเท่าลำแขนเท่านั้น เมื่อเจ้าเมืองเดินข้ามสะพานไม้นี้ก็เดินเอี้ยวไปเอี้ยวมา มือไม้ก็กางออกไป ไอ็ศรีธนญชัยก็ว่า ” นี่ไงล่ะเจ้าเมืองท่านฟ้อนรำหรือไม่ล่ะ ‘’ ก็เป็นอันว่าเจ้าเมืองถูกไอ้ศรีธนญชัยหลอกเอาอีกครั้งหนึ่ง

ไอ้ศรีธนญชัยก็บอกว่า ‘’ ถ้าหากเข้าไปอีกหน่อยนะจะถึงประตูบ้านข้า ถ้าหากเจ้าเมืองไม่ไหว้เข้าไปละก็ข้าว่าเข็ดแน่ๆ เลย ‘’ เจ้าเมืองก็ว่า ‘’คนอย่างกูนี่นะหรือจะไปไหว้มึง‘’ ‘’ เอาเถอะน่า…ลองดูก็แล้วกัน ” บ้านไอ้ศรีธนญชัยนั้นอยู่ในป่าหญ้าคาหาทางเข้าไปลำบากแทบมองไม่เห็นทาง เพราะต้นหญ้าคาขึ้นทึบไปหมด ก็ต้องใช้มือแหวกหญ้าเข้าไปเรื่อย ๆ ศรีธนญชัยเห็นดังนั้นก็ร้องว่า ‘’ นี่ไงล่ะเจ้าเมืองไหว้หรือไม่ไหว้ล่ะ ” เจ้าเมืองก็ต้องแพ้ศรีธนญชัยอีกครั้งหนึ่ง ศรีธนญชัยก็พูดต่อไปอีกว่า ” หากเจ้าเมืองเข้าไปในบ้านข้าแล้วไม่ทำความเคารพเสียก่อนก็เห็นจะต้องเข็ดแน่ๆ” “ไอ้ศรีธนญชัยเอ๊ย คนอย่างกูนะหรือจะทำความเคารพบ้านมึง‘’… ‘’ เอาเถอะน่า ” พอไปถึงบ้านของศรีธนญชัยแล้วประตูบ้านเตี้ยมากเพราะเป็นกระท่อมเล็กๆ เจ้าเมืองไปถึงก็ต้องก้มหัวลอดเข้าไป ศรีธนญชัยได้ทีเลยพูดว่า ‘’ นั่นไงล่ะท่านเจ้าเมืองกำลังทำความเคารพบ้านข้าแล้ว ” ในที่สุดเจ้าเมืองก็พูดขึ้นว่า ‘’ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปถ้าแผ่นดินนี้ไม่กลับข้างล่างมาเป็นข้างบนละก็ ไอ้ศรีธนญชัยมึงอย่าได้ย่างเหยียบเข้ามาบ้านเมืองกูอีกนะ มึงจงออกจากบ้านเมืองกูไปเสีย ”… ศรีธนญชัยก็หนีออกจากบ้านเมืองไป


พอย่างเข้าเดือนเก้าเดือนสิบ… ชาวบ้านเขาก็ทำไร่ไถนาดินที่ไถนามันกลับข้างล่างเป็นข้างบน… ศรีธนญชัยก็กลับเข้าบ้านเข้าเมืองอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเจ้าเมืองเห็นก็พูดว่า ‘’ ไอ้ศรีธนญชัย กลับมาอีกแล้วหรือ ไหนกูบอกมึงว่าอย่างไรมึงจำไม่ได้หรือ มึงต้องตายแน่วันนี้ กูบอกมึงว่าถ้าแผ่นดินไม่กลับข้างล่างเป็นข้างบน ห้ามไม่ให้มึงกลับเข้ามาในบ้านเมืองของกูไม่ใช่หรือ ‘’ ศรีธนญชัยก็ตอบว่า ‘’ ขอเชิญเจ้าเมืองออกไปดูตามทุ่งนาบ้างซิ แล้วจะเห็นว่าแผ่นดินครั้งหนึ่ง เลยสั่งว่า ‘’ พรุ่งนี้ให้มึงไปสานตะกร้าใบเล็กที่สุดมาให้ใบ” ศรีธนญชัยก็กลับไปสานตะกร้าใบเล็กที่สุดคลุมหัวเต่าเข้าไปสู่เจ้าเมือง ‘’ ไหนล่ะตะกร้าใบเล็กที่กูสั่งให้มึงสาน ‘’ ศรีธนญัชยก็แก้ห่อให้ดูก็เห็นตะกร้าใบเล็กที่สุดครอบอยู่บนหัวเต่า เจ้าเมืองเห็นดังนั้นก็หาวิธีใหม่ โดยสั่งให้ศรีธนญชัยสานตะกร้าใบใหญ่ที่สุด ศรีธนญชัยก็สานตะกร้าใบใหญ่จนเข้าประตูเมืองไม่ได้ จึงเข้าไปบอกเจ้าเมืองว่า สานตะกร้าเสร็จแล้วและเอาเข้าประตูเมืองไม่ได้

ตลอดทางเจ้าเมืองก็คิดหาทางแก้แค้นไอ้ศรีธนญชัยให้ได้… เลยท้าพนัน ศรีธนญชัยว่า… “ถ้าใครถ่ายอุจจาระได้โดยไม่ถ่ายปัสสาวะคนนั้นรอดตาย”… ตอนนั้นศรีธนญชัยได้ถ่ายปัสสาวะมาก่อนแล้วจึงชนะเจ้าเมืองอีก… ศรีธนญชัยจึงเอาค้อนทุบศรีษะเจ้าเมืองเสีย… ในที่สุดเจ้าเมืองก็ต้องมาตายเพราะศรีธนญชัยจนได้


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
       จากเนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวที่เล่าสู่กันฟัง ให้เกิดความสนุกสนาน ขำขัน เพลิดเพลิน และแฝงด้วยแนวคิด เป็นบทสอนใจให้กับผู้ที่ได้รับฟังว่า… “คนที่มีสติปัญญาย่อมเอาตัวรอดได้เสมอ”


1 ความคิดเห็น:

  1. Your Affiliate Money Making Machine is waiting -

    And making money online using it is as easy as 1...2...3!

    Here is how it works...

    STEP 1. Input into the system what affiliate products you want to promote
    STEP 2. Add some PUSH button traffic (it LITERALLY takes 2 minutes)
    STEP 3. Watch the system grow your list and up-sell your affiliate products all on it's own!

    So, do you want to start making profits???

    Click here to activate the system

    ตอบลบ

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน

⤞   นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน ⤟ เรื่อง   ตำนานผาแดงนางไอ่            นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน ผาแดงนางไอ่ อดีตกาลผ่านมาใกลโพ้น   ...